♥ TVXQ FANCLUB ♥ ~ ~** ..::We are Cassiopeia of ThailanD::..
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

[SF] Your man

Go down

[SF] Your man Empty [SF] Your man

ตั้งหัวข้อ  estrellas Thu Feb 27, 2014 3:33 pm

สวัสดีครับผมชอง ยุนโฮ ผมเป็นนักศึกษาปีสาม คณะนิติศาสตร์ธรรมดาๆ ทั่วไป ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร หน้าตาก็บ้านๆ ติดจะเฉยๆ เสียด้วยซ้ำไป วันหนึ่งๆ ของผมมักจะหมดไปกับการเล่าเรียนและการนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ที่ห้องสมุด ผมมักจะไปคลุกตัวอยู่ที่ห้องสมุดในทุกๆ เช้า ถึงแม้ว่าผมจะมีเรียนบ่ายก็ตาม แต่การนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่หอก็ทำให้เบื่อเกินไปจนต้องเดินมาหาหนังสืออ่านรอเวลาเข้าเรียนที่ห้องสมุดทุกๆ วัน ถึงแม้ว่าผมจะดูเหมือนคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง เอ่อ ที่จริงจะบอกว่าสูงมากก็ได้นะ ผมไม่ถือ แต่ก็ใช่ว่าผมจะอยู่คนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดระยะเวลาสามปีที่ผมมาเรียนอยู่ที่นี่หรอกนะ ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งมีชื่อว่าชิม ชางมิน ผมกับชางมินเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว เราสองคนจึงค่อนข้างที่จะสนิทกันมากพอตัว แต่ก็ใช่ว่ามีเพื่อนสนิทจะต้องไปไหนมาไหนด้วยกัน ตัวติดกันเป็นปลาท่องโก๋ซะหน่อย ที่จริงผมก็อยากจะอยู่กับเพื่อนบ้างนะ ถ้าไม่ติดว่าชางมินเรียนอยู่คนละคณะกับผมน่ะสิ หมอนั่นน่ะหัวดี เรียนแพทย์ ซึ่งก็ไม่แปลกเลยถ้าในหนึ่งอาทิตย์ผมจะได้เห็นหน้าชางมินเพียงแค่สองวันเท่านั้น

ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ตอนนี้บ่งบอกเวลาว่าใกล้เวลาจะเข้าเรียนวิชากฎหมายแล้ว ผมหยิบที่คั่นหนังสือในกระเป๋าที่มักจะพกติดตัวไว้เสมอๆ เอามาคั่นหน้าหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ ก่อนจะถือหนังสือเล่มนั้นแล้วลุกเดินออกจากห้องสมุดไป

ผลั่กก!

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษครับ” ผมก้มลงเก็บหนังสือที่ร่วงลงไปนอนแหมะที่พื้นหน้าห้องสมุดขึ้นมา พลางเอ่ยขอโทษคู่กรณีที่เดินชนกันไปด้วย แต่เมื่อผมเงยหน้ามองคนตรงหน้าก็ถึงกับทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว ก็ไหนเมื่อคนตรงหน้าผมตอนนี้นั้นคือเดือนมหาวิทยาลัยที่เป็นถึงขวัญใจของคนทั้งมหาวิทยาลัยเลยนี่

“ขอโทษนะ เรามัวแต่มองหาเพื่อนเลยไม่ทันได้มองว่ามีคนเดินสวนมา ขอโทษนะ หนังสือเสียหายหรือเปล่า?”

“เอ่อ ไม่เป็นไร ขอโทษด้วยเหมือนกัน ขอตัวก่อนนะ” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงที่พูดตอบกลับอีกฝ่ายไปไม่ให้สั่น ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจของผมนั้นเต้นรัวซะยิ่งกว่าอะไร แล้วผมก็เดินเลี่ยงออกมาทันที

หลังจากที่เดินเลี่ยงออกมาแล้วผมก็อดที่จะห้ามใจให้หันไปมองคนข้างหลังไม่ได้ ดีที่เขานั้นเดินเข้าไปหาเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่แถวหน้าเคาน์เตอร์ยืมคืนแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงจะทำตัวไม่ถูกแน่ๆ ถ้าเกิดว่าหันไปสบตาเขาเข้าให้ ทุกๆ คนคงอยากจะรู้กันล่ะสิว่าเขาคนนั้นเป็นใครกัน ผมจะบอกให้ก็ได้ เขาชื่อคิม แจจุง เรียนอยู่ปีสาม คณะเภสัชศาสตร์ และก็มีดีกรีเป็นถึงลีดเดอร์คณะและเดือนมหาวิทยาลัยเชียวล่ะ ไม่แปลกเลยที่จะมีคนมากมายชื่นชอบในตัวของแจจุง รวมทั้งผมก็ด้วย ถ้าจะถามว่าผมเจอกับแจจุงได้ยังไงล่ะก็ ผมเจอแจจุงครั้งแรกก็วันที่แข่งกีฬาเฟรชชี่ ผมนั้นเป็นสแตนด์เชียร์ของคณะนิติศาสตร์ ส่วนแจจุงก็อย่างที่บอกเขาเป็นลีดเดอร์คณะเภสัชศาสตร์ เพราะวันแข่งสแตนด์เชียร์และวันแข่งลีดเดอร์เป็นวันเดียวกัน ก็เลยทำให้ผมได้เจอกับแจจุงและเริ่มที่จะสนใจในตัวของแจจุงขึ้นมา ตลอดเวลาในช่วงปีหนึ่งเป็นช่วงที่ผมได้มีโอกาสได้เจอแจจุงบ่อยๆ เพราะปีหนึ่งของทุกคณะต่างก็เริ่มเก็บวิชาพื้นฐานกันก่อน และมันก็ทำให้ผมรู้ว่าแจจุงนั้นเป็นคนร่าเริงและสดใส แจจุงมีเพื่อนมากมายอยู่รายล้อม แต่ถ้าจะให้บอกว่าแจจุงสนิทกับใครมากที่สุดก็คงจะเป็นคิม จุนซูเพื่อนตัวเล็กที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ และก็คงจะมีปาร์ค ยูชอน แฟนของจุนซูที่เรียนอยู่คณะโลจิสติกส์และเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ผมไม่รู้จักชื่อด้วย และความสดใส น่ารักของแจจุงก็ทำให้ผมนั้นตกหลุมรักเข้าจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่การที่จะให้ผมเข้าไปจีบแจจุงก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็อย่างที่ผมบอกทุกคนไปแล้วตั้งแต่ต้นนั่นแหละ ผมไม่ใช่คนที่ดูดีอะไร ออกจะเฉยๆ ด้วยซ้ำไป ขืนผมเข้าไปจีบแจจุง คนอื่นจะพากันมองเหยียดหยามผมที่ไม่เจียมตัวเองล่ะสิ ที่จริงผมก็ไม่ได้สนใจสายตาหรือคำครหานินทาจากคนพวกนั้นหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่อยากให้แจจุงต้องด่างพร้อยเพราะผมต่างหากล่ะ

.
.
.
.
.

หลังจากที่เรียนวิชากฎหมายเสร็จ ผมก็เดินเรื่อยๆ เอื่อยๆ มาที่คณะแพทยศาสตร์เพราะวันนี้ผมมีนัดกับชางมินว่าจะไปเอาของของผมที่ฝากไว้ที่หอชางมินและมารู้จักรูมเมทคนใหม่ที่ชางมินจะเป็นคนแนะนำให้แทนรูมเมทคนเก่าที่ย้ายออกไปอยู่กับแฟน ผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าใกล้ๆ คณะแล้วเดินมานั่งอ่านหนังสือรอที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะไปพลางๆ เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงร่างสูงๆ ของชางมินก็เดินเร็วๆ ตรงเข้ามาหาผม ในมือก็ถือหนังสืออะไรก็ไม่รู้มากมาย

“มานานแล้วเหรอ? โทษทีนะ พอดีฉันติดแล็ปอยู่น่ะ”

“ไม่เป็นไร แล้วไหนรูมเมทฉันล่ะ?” ผมถามหารูมเมทคนใหม่จากชางมินทันที ไม่ใช่ว่าผมเร่งอะไรหรอกนะ ก็แค่อยากจะเห็นหน้าค่าตารูทเมทคนใหม่ก็เท่านั้นเอง

“นั่นไงมาพอดี” ชางมินยกมือโบกให้คนมาใหม่ด้านหลังผม ทำให้ผมหันไปมองตามอย่างช่วยไม่ได้ แล้วลมหายใจของผมก็ต้องสะดุดเพราะคนที่กำลังเดินตรงมาที่ที่พวกเรานั่งกันอยู่นั้นคือแจจุงและเพื่อนๆ นั่นเอง!

“นึกว่ายังไม่เลิกซะอีก เลิกนานแล้วเหรอ?” หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยถามชางมิน แล้วเดินเข้าไปหาแล้วพูดคุยกันอย่างสนิทสนม เพิ่งจะรู้ว่าชางมินสนิทกับเพื่อนผู้หญิงขนาดนี้ แต่ก่อนแทบจะไม่เคยสุงสิงด้วยเลยแท้ๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมต้องสนใจหรอกนะ ประเด็นมันอยู่ที่ร่างบางที่ยืนส่งยิ้มบางๆ มาให้ผมอยู่ต่างหากล่ะ!

“อ้อ มินจี นี่ยุนโฮเพื่อนสนิทฉัน ส่วนยุนโฮนี่มินจีแฟนฉันที่เคยบอกนายไง แล้วนั่นก็ยูชอน จุนซูแล้วก็แจจุง รู้จักกันไว้นะ” ชางมินเอ่ยแนะนำคนอื่นๆ ให้ผมฟัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำทำไมก็ในเมื่อมันก็รู้อยู่แล้วว่าผมรู้จักหมดทุกคนแล้ว ยกเว้นแฟนของมันนั่นแหละ!

“เอ่อ สวัสดี” แต่ถ้าจะไม่เอ่ยทักทายกลับก็ดูจะเสียมารยาทไปหน่อยจริงไหม?

“ยุนโฮใช่ไหมที่จะเป็นรูมเมทของเราน่ะ?” แจจุงเอ่ยถามหน้าตายิ้มแย้มอย่างเป็นกันเอง แต่ทำเอาผมแทบช็อคไปเลยล่ะ

“เอ่อ ก็อย่างที่แจจุงพูดล่ะนะ พอดีแจจุงเขาอยากจะย้ายหอน่ะ หอเก่ามันอยู่ไกลไป เดินทางก็ลำบากด้วย ฉันก็เห็นว่าแกกำลังหารูมเมทใหม่พอดี ก็เลยแนะนำให้น่ะ” ชางมินรีบพูดชี้แจงทันทีเมื่อผมหันหน้าไปมองอย่างคาดคั้นขอคำตอบ ผมได้แต่มองหน้าชางมินอย่างนึกเคืองน้อยๆ ที่ตัดสินใจอะไรไม่ปรึกษาผมซะก่อน โดยที่ไอ้ตัวต้นเรื่องก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ผมเท่านั้น

“เอ่อ ถ้ายุนโฮลำบากใจ เราไปหาหออื่นอยู่ก็ได้นะ” ในขณะที่ผมกำลังส่งสายตาอาฆาตไปให้ชางมินอยู่ เสียงหวานๆ ก็ดังขึ้นเบาๆ เรียกให้ผมหันไปสนใจแจจุงที่ยืนทำหน้าไม่สู้ดีนัก เอาล่ะสิ เขาจะคิดว่าผมเกลียด ไม่ชอบเขาหรือเปล่านะ? ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะ

“ปะ เปล่า ไม่ได้ลำบากใจอะไรนี่”

“จริงนะ?” ตาหวานๆ เริ่มมีประกายสดใสกลับมาอีกครั้ง เอ่ยถามด้วยความดีใจราวกับเด็กๆ

“ขอคุยกับชางมินแปบนึงนะ มานี่เลย” ผมพูดบอกกับคนอื่นๆ ก่อนจะจัดการลากไอ้เพื่อนตัวดีเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อคุยกันตามลำพัง

.
.
.
.
.

“เฮ้ยๆ เบาๆ ก็ได้เว้ย”

“นี่แกคิดอะไรอยู่เนี่ย? ไอ้ชางมิน” ผมปล่อยมือที่ล็อคคอไอ้เพื่อนตัวดี แล้วกอดอกถามเสียงเอาเรื่อง

“คิดอะไร? ไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย” ดูมัน มันยังมีหน้ามาปฏิเสธหน้าตายได้อีกนะ

“เอาน่าเพื่อน ยังไงก็หารูมเมทคนใหม่ได้แล้ว ก็คิดซะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญแล้วกันนะ แล้วไหนๆ แกกับแจจุงก็เป็นรูมเมทแชร์ห้องอยู่ด้วยกันแล้ว แกจะได้มีโอกาสพูดคุย ทำความสนิทสนมกับแจจุงมากขึ้นไง เผื่อเวลาบอกรักแจจุงจะได้ตอบตกลงง่ายๆ หน่อย” ชางมินเดินมากอดคอตบบ่าผมคล้ายกำลังให้กำลังใจ

“นี่คือเหตุผลที่แกโยนแจจุงมาให้ฉันหรือเปล่าวะ?” ผมเอ่ยถามพลางส่งสายตามองหน้าชางมินอย่างไม่ไว้ใจ

“ก็ส่วนหนึ่ง ฮ่าๆ เอาเถอะน่า ถ้าไม่ให้แจจุงไปอยู่กับแกแล้วจะให้ไปอยู่ไหนวะ? จุนซูก็อยู่หอกับยูชอน จะให้แจจุงไปอยู่ด้วยก็ดูเหมือนจะไปขัดความสุขเล็กๆ ของสองคนนั้นน่า ยิ่งถ้าจะให้ไปอยู่กับมินจีนี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย แกก็รู้ว่ามินจีเป็นผู้หญิงจะให้อยู่กับผู้ชายได้ยังไง ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะ อีกอย่างมินจีก็อยู่หอหญิงด้วย ก็จะมีแต่แกนั่นแหละวะที่พอจะให้แจจุงไปอยู่ด้วยได้”

“แล้วแกล่ะ? แกก็อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอไง?” ผมย้อนถามมันกลับ แต่มันก็ส่ายหน้าปฏิเสธแทบจะทันทีอย่างไม่ต้องคิดไตร่ตรองซักนิดเดียว

“อยู่หอฉันไม่ได้เว้ย แกก็รู้ว่าฉันเรียนหนัก บางวันต้องอยู่ทำแล็ป ทำวิจัยอะไรต่อมิอะไรอีกตั้งเยอะแยะ บางวันก็ต้องนอนที่หอเพื่อน ไม่ค่อยได้กลับหอเท่าไหร่ ขืนให้แจจุงไปอยู่กับฉัน มีหวังแจจุงต้องอยู่หอคนเดียวแน่ๆ แบบนั้นมินจีได้ตามมาตีหัวฉันแตกแน่ๆ ที่ปล่อยให้เพื่อนยัยนั่นอยู่หอคนเดียวอย่างนั้นน่ะ ยัยนั่นหวงแจจุงยิ่งกว่าอะไร กลัวแจจุงจะเป็นอันตรายจากอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ ก็อย่างว่าแหละวะ แจจุงมีหน้าตาดึงดูดภัยสุดๆ แบบนั้นอ่ะ มีคนจ้องจะตะครุบตัวแจจุงอยู่มากมาย”

“มันใช่เหตุผลที่จะเอามาอ้างไหม?” ผมมองหน้าชางมินอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าหัวสมองระดับอัจฉริยะอย่างมันจะคิดเหตุผลบ้าๆ บอๆ แบบนี้มาอ้างกับผมได้

“สรุปว่าไม่ว่ายังไงแจจุงก็ต้องเป็นรูมเมทคนใหม่ของฉันใช่ไหม?” ผมถามย้ำอีกครั้ง ในใจก็คิดหาคำตอบเอาไว้แล้วว่าเพื่อนรักจะตอบกลับมาว่ายังไง

“ถูกต้องแล้วเพื่อน” แล้วมันผิดจากที่ผมคิดเอาไว้ซะทีไหนกันล่ะ

“ถือซะว่าโอกาสงามๆ ที่แกจะเริ่มจีบแจจุงเข้ามาถึงตัวแล้วล่ะกัน ไม่รีบคว้าเอาไว้ตอนนี้ ระวังจะเสียใจเอาทีหลังนะเพื่อน” ชางมินตบเข้าที่บ่าผมเบาๆ อีกสองสามที ก่อนจะออกแรงดันให้เดินไปที่โต๊ะหินอ่อนที่พวกแจจุงจับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่

แล้วนี่หัวใจผมจะไม่เด้งหลุดออกมาซะก่อนเลยเหรอไง? ถ้าต้องอยู่ห้องเดียวกับแจจุง เจอหน้ากันทุกวัน เห็นกันทุกอิริยาบถแบบนี้น่ะ แค่เดินผ่านร่างแจจุง หัวใจผมก็เต้นแรงซะจนควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว!

…………………………………………………………………………

“อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ? ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย” ร่างบอบบางเดินเช็ดผมที่เปียกออกมาจากห้องน้ำมานั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองเอ่ยทักทายผมที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือให้หันไปให้ความสนใจ

“ซักพักแล้ว นายอาบน้ำอยู่เลยไม่ได้ยินมั้ง” ผมเอ่ยตอบแจจุงกลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ ถ้าจะพูดให้ถูกคือผมพยายามไม่เงยหน้าขึ้นมองต่างหาก เพราะอะไรน่ะเหรอ? ทุกคนก็คงจะพอเดาออกกันอยู่แล้วล่ะนะ ถึงแม้ว่าตอนนี้แจจุงจะไม่ได้โป๊เปลือยทั้งตัวหรือแค่ครึ่งบนก็เถอะนะ แต่ร่างบางๆ ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว มีเจ้าพอลแฟรงค์ตัวโตสกรีนอยู่บนเสื้อกับกางเกงขาสั้นสีดำ กับผมเปียกๆ ที่ลู่ไปกับใบหน้าหวานก็ทำให้ผมใจเต้นได้ไม่น้อยเลยล่ะ

“อืมมม” แจจุงพยักหน้ารับเหมือนจะรับรู้สิ่งที่ผมพูด แล้วนั่งเช็ดผมที่เปียกของตัวเองไปเงียบๆ ไม่เอ่ยถามอะไรอีก แต่แล้วจู่ๆ ร่างบอบบางก็เด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เล่นทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเล็กๆ ไปด้วยเลย

“เอ้อ เราซื้อกับข้าวมาเยอะแยะเลย วันนี้พวกจุนซูชวนไปเดินตลาดใหม่ที่เพิ่งเปิด มีของน่ากินเยอะแยะเลยนะ นี่เราแค่ไปเดินกันแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงยังได้ของกันมาตั้งเยอะแหน่ะ คนอื่นๆ ได้เสื้อผ้า ของใช้กัน แต่ทำไมเราถึงได้แต่ของกินก็ไม่รู้ ฮ่าๆ เราซื้อมาเผื่อยุนโฮด้วยนะ แต่เราไม่รู้ว่ายุนโฮชอบอะไร ก็เลยเลือกมาหลายๆ อย่าง” แจจุงเดินไปเปิดดูถุงกับข้าวถุงนู้นถุงนี้เปิดดูอย่างสนอกสนใจ จนทำให้ผมที่นั่งมองตามแจจุงไปอดที่ยิ้มขำกับท่าทีตื่นเต้นเป็นเด็กๆ แบบนั้นไม่ได้

“ก็ไหนบอกว่าเป็นคนซื้อกับข้าวมาเอง แล้วทำไมถึงทำท่าทำทางตื่นเต้นแบบนั้นล่ะ?” ผมเอ่ยถามเหมือนจะแกล้งแจจุงไปในที ซึ่งคนน่ารักก็ได้แต่หันมาทำหน้ายู่ใส่ผมเหมือนจะกำลังบอกผมว่า ‘อย่ามาแกล้งนะ’ อะไรทำนองนั้น

ทุกคนกำลังแปลกใจอยู่ใช่ไหมล่ะว่าทำไมผมถึงได้ดูสนิทกับแจจุงแล้ว? ทั้งๆ ที่แต่ก่อนผมแทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกับแจจุงเลย ก็จะทำไงได้ล่ะครับ ก็ผมกับแจจุงแชร์ห้องร่วมกันมาเดือนกว่าแล้วนะ เจอหน้ากันทุกวัน แถมยังต้องนอนห้องเดียวกันทุกคืน ถึงจะไม่ใช่เตียงเดียวกันก็เถอะ แล้วจะไม่ให้พูดคุยอะไรกันเลยมันก็ไม่ใช่เรื่องใช่ไหมล่ะ? แรกๆ ผมก็เกร็งอยู่เหมือนกันนะ แต่พอนานวันเข้าผมกับแจจุงก็เริ่มจะสนิทกันไปโดยปริยาย แล้วผมก็เคยบอกใช่ไหมล่ะว่าแจจุงน่ะเป็นคนน่ารัก และเพราะว่าความที่เป็นคนที่ทำอะไรก็น่ารักไปหมดทุกอริยาบถของแจจุงนั่นแหละเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมชอบที่จะแกล้งหยอกแจจุงให้ได้งอนบ่อยๆ ก็เวลาที่แจจุงงอนน่ะน่ารักกว่าเป็นไหนๆ นี่นา ฮ่าๆ

“จะกินเลยไหม? เดี๋ยวเราจะได้แกะใส่จานให้ แต่เราว่ากินเลยก็ดีนะ กำลังร้อนๆ อยู่เลย ปล่อยทิ้งไว้นานจะเย็นแล้วจะไม่อร่อยเปล่าๆ” แจจุงถามความเห็นผม แต่ในความรู้สึกผมเหมือนแจจุงจะถามให้พอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ ก็ในเมื่อแจจุงก็ตัดสินใจอะไรเรียบร้อยหมดแล้วนี่ ผมเคยแย้งอะไรได้ซะทีไหนกัน

“ฉันอาบน้ำก่อนแล้วกัน นายกินไปก่อนเลย” ผมลุกขึ้นเดินไปเตรียมเสื้อผ้าเปลี่ยนแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเตรียมเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายซะหน่อย วันนี้มีเรียนทั้งวัน เหนียวตัวไปหมด

“เร็วๆ นะ ชักช้าเรากินหมดไม่รู้ด้วย” เสียงหวานเอ่ยขู่ผมเล็กๆ ไล่หลังมาให้ได้ยิน

“งั้นฉันต้มรามยอนกินก็ได้” ผมแกล้งตะโกนตอบกลับไป แล้วเสียงหวานๆ ก็ตะโกนกลับมาแทบจะทันทีให้ผมได้หัวเราะขำกับความน่ารักของคนด้านนอก

“ไม่ได้! เดี๋ยวเราอยากกินรามยอนด้วย กับข้าวเราก็ไม่มีคนกินสิ!”

.
.
.
.
.

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมไม่มีเรียน ผมก็เลยได้แต่นั่งอ่านหนังสืออยู่แต่ในหอคนเดียวตั้งแต่เช้าจนตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยเข้ามาจะสามโมงเย็นแล้ว ผมลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าที่เกิดจากการนั่งอ่านหนังสือเป็นเวลานาน ก่อนที่ผมจะเดินหายเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้นอีกสักนิด แล้วเดินมาหยิบกระเป๋าสตางค์และมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะลงกระเป๋าเป้เตรียมจะไปมหาวิทยาลัย

ผมเดินเอื่อยๆ มาเรื่อยๆ จากหอจนตอนนี้ผมก็เดินมาถึงตึกคณะแพทยศาสตร์แล้ว ผมก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งเพื่อดูเวลา แต่เมื่อเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง ผมก็เลยแวะนั่งเล่นที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะแพทยศาสตร์ไปพลางๆ เผื่อว่าบางทีวันนี้ผมอาจจะโชคดีได้เจอหน้าเพื่อนรักที่แทบจะไม่ได้เจอกันเลยช่วงนี้บ้าง และหลังจากที่ผมนั่งเล่นมองนู่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร่างสูงๆ ที่ดูคุ้นตากำลังเดินตรงมาที่ผม และเมื่อคนๆ นั้นเดินเข้ามาใกล้ผมก็จึงได้รู้ว่าผู้ชายตัวสูงที่ดูคุ้นตานั้นคือชิม ชางมิน เพื่อนรักของผมนั่นเอง

“ไง มานั่งทำอะไรที่คณะฉันล่ะ? วันนี้นายไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอไง?” ชางมินเดินเข้ามาทักทายผม ของในมือถูกวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผมไปด้วย ผมเพิ่งสังเกตว่าช่วงนี้ชางมินดูผอมไปกว่าเดิมมาก หรืออาจจะแค่ผอมลงไปหน่อย แต่สำหรับผมที่ไม่ค่อยได้เจอชางมินเลยในช่วงนี้มันกลับดูเปลี่ยนไปจนสังเกตได้ชัดเจน

“นายผอมลงหรือเปล่าเนี่ย?” และผมก็ไม่ใช่คนที่จะเก็บเอาความสงสัยไว้กับตัวเองนานๆ นักหรอก

“ฮ่ะ ก็อาจจะมั้ง ช่วงนี้ยุ่งๆ ว่ะ นี่ขนาดแกยังรู้สึกว่าฉันผอมไปแบบนี้ฉันคงต้องรีบเพิ่มน้ำหนักตัวเองโดยด่วนแล้วล่ะ ไม่งั้นไปเจอมินจีคราวหน้าฉันคงโดนด่าจนหูชาแน่เลย ฮ่าๆ” ดูมัน ขนาดกลัวว่าแฟนจะด่ามันยังมีหน้ามาหัวเราะได้อีก ผมล่ะเชื่อจริงๆ

“ว่าแต่แกเหอะ เมื่อกี้ยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะเว้ย ตกลงแกมาทำอะไรที่คณะฉันเนี่ย?” ชางมินเลิกหัวเราะขำแล้วหันมาถามผมอีกครั้ง

“รอแจจุง” ผมตอบมันกลับไปตรงๆ ก็ไม่ได้คิดจะปิดอะไรอยู่แล้ว และผมก็มารอแจจุงจริงๆ นี่ จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ?

“หา? รอแจจุงเนี่ยนะ?” ชางมินถามกลับเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด ผมมันดูเป็นคนไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเหรอไงกัน?

“เออ”

“เฮ้ยเดี๋ยวเพื่อน แจจุงเรียนอยู่เภสัชนะ เผื่อแกจะลืม แต่นี่มันคณะแพทย์นะเว้ย” ชางมินช่วยพูดเตือนความจำผม ที่จริงผมก็ควรจะขอบคุณมันนะ ถ้าไม่ติดที่ว่าผมรู้อยู่แล้วว่าแจจุงเรียนอยู่เภสัชน่ะ

“เออ แต่แจจุงยังไม่เลิกเรียน ฉันก็เลยมานั่งเล่นอยู่แถวนี้ก่อนเผื่อว่าจะเจอแกไง”

“แล้วแกก็เจอจริงๆ ใช่ไหม? ฮ่าๆ แล้วนี่ยังไงกันวะ? ขนาดมารอรับกันแบบนี้แสดงว่าแกกับแจจุงพัฒนากันไปถึงไหนต่อไหนแล้วสิ?” ชางมินเลิกคิ้วถามผมด้วยท่าทีที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด คนเรียนหมอจะชอบคิดอะไรแปลกๆ แบบมันทุกคนเลยหรือเปล่าเนี่ย?

“ไอ้ถึงไหนต่อไหนของแกน่ะมันถึงไหน?”

“ไม่ต้องมาทำเป็นไก๋เลย แกก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ว่าไงวะ? ตกลงคบกันแล้วใช่ไหม? แบบนี้ก็น่าวางใจหน่อย ช่วงนี้มินจีโทรมาบ่นกับฉันอยู่บ่อยๆ ว่าแจจุงมีคนมาตามตอแยไม่เลิก เฮ้ย แบบนี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้นะเว้ย แกจะปล่อยให้ผู้ชายที่ไหนมาตามตอแยแฟนแกไม่ได้นะเว้ย เอ๊ะ! หรือว่าที่แกมารับแจจุงวันนี้เพราะจะมาประกาศความเป็นเจ้าของใช่ไหมวะ?” ชางมินพูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ยาวเหยียดไปหมด จนผมเกือบจะฟังไม่ทัน แต่ก็แค่เกือบล่ะนะ เพราะผมจำได้ทุกคำเลยล่ะ อะไรที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแจจุงน่ะ แต่เมื่อกี้มันว่าอะไรนะ? แจจุงมีคนมาตามจีบงั้นเหรอ?

“แกบอกว่าแจจุงมีคนมาตามจีบเหรอ?”

“ก็เออสิวะ อะไร? เรื่องแค่นี้แกไม่รู้ได้ไง? ไหนว่าเป็นแฟนกันไงวะ?” ดูมัน ดูมันถามผมสิครับ ผมล่ะอยากจะตบกระบาลมันจริงๆ เลย ถ้าไม่ติดว่าผมอาจจะทำให้ความจำมันลดลงอ่ะนะ ผมไปบอกตอนไหนว่าผมเป็นแฟนกับแจจุง?

“ยังไม่ได้เป็นเว้ย”

“อ้าว แล้วแกรออะไรอยู่วะ? รอให้แจจุงมาขอแกเป็นแฟนเองเหรอไง? ลีลานัก ระวังหมาคาบไปรับประทานนะครับคุณชอง” ถ้าผมจะถอดรองเท้าตบปากมันตอนนี้จะมีใครจะมาดักตีหัวทำร้ายผมทีหลังหรือเปล่า? แต่ผมว่าอย่าดีกว่า เพราะคงมีอยู่คนหนึ่งล่ะที่จะมาเอาเรื่องผมแน่ ก็มินจีแฟนสุดที่รักของมันยังไงล่ะ บางทีผมก็ยังอยากจะมีมิตรมากกว่าศัตรูล่ะนะ

“แล้ววันนี้แกมารอรับแจจุงทำไมวะ? หรือว่านี่เป็นขั้นตอนเริ่มแรกของการจีบ?” ชางมินยังคงซักไซ้ถามผมต่อไม่หยุด

“จะไปซื้อของเขาหอด้วยกันน่ะ เมื่อวานแจจุงบอกเอาไว้” ผมตอบตามความจริง แต่คำตอบของผมก็ทำเอาชางมินตีหน้าเมื่อยใส่ผมทันที

“นี่ตกลงว่าแกไม่คิดจะจีบแจจุงจริงๆ ใช่ไหม? ทั้งๆ ที่แกชอบเขามาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วเนี่ยนะ?”

“แกก็รู้ว่า…”

“ว่าฉันไม่เหมาะกับแจจุงหรอก แจจุงเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย แล้วฉันล่ะเป็นใคร? ก็แค่นักศึกษานิติศาสตร์ธรรมดาๆ คนนึง ใช่ไหม?” ชางมินพูดต่อคำพูดของผมได้เหมือนกับสิ่งที่พูดตั้งใจจะพูดได้ไม่มีผิดเพี้ยน ผมหันไปมองหน้าชางมินเหมือนอยากจะถามว่า ‘รู้ได้ยังไงว่าฉันจะพูดแบบนี้?’

“แกไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันรู้ได้ยังไง ก็ตั้งแต่ปีหนึ่งยันตอนนี้แกก็พูดแบบนี้ตลอดเวลาฉันถามเรื่องนี้น่ะ” แหน่ะ มันรู้อีกแหน่ะว่าผมกำลังสงสัยอยู่ บางทีมันอาจจะอ่านความคิดคนออกก็ได้ โดยเฉพาะผมที่ดูท่าว่ามันจะรู้ดีไปซะทุกเรื่อง

“แล้วไงวะ? เป็นเดือนมหาวิทยาลัยแล้วจะมีแฟนไม่ได้ไง? แล้วขอเถอะเลิกคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับแจจุงซะทีเถอะ แกก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรซะหน่อย แล้วอีกอย่างนะเว้ย ถ้าแกคิดว่าแจจุงจะไม่ยอมรับรักแกเพราะรูปร่าง หน้าตาของแกล่ะก็ ฉันว่าแกดูถูกใจของแจจุงเกินไปว่ะ แจจุงดูเป็นคนที่ตัดสินอะไรใครจากบุคลิกภายนอกมากกว่าใจจริงข้างในเหรอไง?”

“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น” ผมตอบปฏิเสธทันทีแทบไม่ต้องคิด

“ฉันรู้ ก็เราเป็นเพื่อนกันมานานนี่วะ เรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ แต่แจจุงจะคิดแบบฉันหรือเปล่าล่ะ? แจจุงไม่ได้คลุกอยู่กับแกมาเกือบสิบปีแบบฉันนี่ ฉันจะบอกอะไรให้นะเว้ย ถ้าแกจะยอมเปิดใจตัวเอง ไม่เอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วเอาแต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่ตลอด แล้วลองมองดูรอบๆ ตัวเองบ้าง มองให้เห็นถึงความตั้งใจดีของแจจุงที่มีให้แก บางทีเรื่องที่แกคิดอยู่ตลอดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันอาจจะเป็นไปได้อย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้นะ ลองคิดดูดีๆ นะเพื่อน ฉันไปล่ะ ยังมีแล็ปต้องทำอีก เฮ้อ คืนนี้ฉันจะนอนคาห้องแล็ปอีกหรือเปล่าเนี่ย?” ชางมินตบบ่ายุนโฮเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือก็หยิบของมากมายที่วางไว้บนโต๊ะมาถือไว้ แล้วเดินหายขึ้นไปบนตึกเรียนทันที ทิ้งให้ยุนโฮได้แต่นั่งคิดทบทวนไปมากับคำพูดของชางมินคนเดียว

……………………………………………………………………………….

“ยุนโฮ เอาเบคอนด้วยไหม? เราว่าเอาไปด้วยก็ดีนะ เพราะว่ามีแต่ไก่กับผักเอง เอ๋ แต่ว่าสุกี้นี้เขาใส่เบคอนกันไหมอ่ะ? ยุนโฮ ยุนโฮ!” เสียงหวานของแจจุงเรียกให้สติที่ล่องลอยของผมให้กลับเข้าที่ ผมหันมามองแจจุงที่ยืนเอียงคอมองมาอย่างสงสัย

“โทษที นายว่าอะไรนะ?” ผมย้อนถามแจจุงกลับ เอาล่ะสิตอนนี้แจจุงทำหน้างอใส่ผมซะแล้วสิ

“ถ้าเบื่อก็กลับไปรอที่หอก่อนก็ได้ เราเดินซื้อของคนเดียวก็ได้” แจจุงวางเบคอนในมือลงที่เดิม แล้วเดินมายื้อแย่งตะกร้าใส่ของที่ผมเป็นคนถืออยู่

“ขอโทษๆ ฉันแค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” ผมยื้อตะกร้าเอาไว้ไม่ยอมให้แจจุงดึงไปถือเองและรีบพูดขอโทษแจจุงทันที ก่อนที่แจจุงจะงอนผมหนักไปมากกว่านี้

“นายจะซื้อเบคอนด้วยใช่ไหม? ซื้อแค่แพคเดียวก็พอเนอะ กินกันแค่สองคนเอง” ผมหันไปหยิบเบคอนขึ้นมาใส่ตะกร้า เมื่อกี้แจจุงคงอยากจะซื้อเบคอนแต่พอผมไม่มีท่าทีสนใจก็เลยไม่เอาแล้วล่ะมั้ง

“นายจะซื้อไข่ใช่ไหม? ฉันเห็นอยู่ตรงนั้นน่ะ ไปกันเถอะ” ผมเดินมาจับเบาๆ ที่ต้นแขนของแจจุงแล้วจะพาเดินไปพร้อมๆ กัน แต่แจจุงก็ยื้อตัวเอาไว้ซะก่อน

“ซื้อไส้กรอกด้วยดีไหม? หรือว่ายุนโฮอยากกินเนื้อหมูหรือเปล่า?”

“เอาไส้กรอกก็ได้” ผมออกความเห็น และแจจุงก็เดินไปหยิบไส้กรอกมาใส่ตะกร้าแพคหนึ่ง แล้วเราทั้งคู่ก็เดินไปหยิบไข่มาแผงหนึ่ง แล้วเดินไปจ่ายเงินค่าของทั้งหมด ก่อนจะพากันเดินกลับหอไปเตรียมทำสุกี้กินด้วยกันวันนี้

.
.
.
.
.

หลังจากซื้อของกลับมาแล้ว ผมกับแจจุงก็ช่วยกันเตรียมส่วนประกอบต่างๆ ของสุกี้ ผมนั้นมีหน้าที่ล้างผักและปอกพลาสติกที่หุ้มไส้กรอกเอาไว้ และแจจุงก็รับหน้าที่หั่นเนื้อไก่ให้เป็นชิ้นๆ พอดีคำ ตอนแรกผมก็ไม่อยากให้แจจุงจับมีดเท่าไหร่หรอกนะ แต่แจจุงก็ดึงดันจะทำให้ได้ และดูเหมือนว่าจะทำได้ดีเกินคาดซะด้วย จนผมอดไม่ได้ที่จะชื่นชมอย่างจริงใจ และวันนี้ผมก็ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับแจจุงอีกอย่าง นั่นก็คือแจจุงเป็นคนทำอาหารเก่งมาก แจจุงเล่าให้ฟังว่าเขามักจะเข้าครัวช่วยคุณแม่เตรียมอาหารบ่อยๆ ก็เลยทำอาหารเป็นไปโดยปริยาย เฮ้อ นับวันผมก็เริ่มจะรู้สึกว่าแจจุงนั้นดูดีไปซะทุกอย่าง มีอะไรที่แจจุงทำไม่ได้บ้างนะ?

“ฮ่ะๆ” ผมหัวเราะออกมาน้อยๆ ในขณะที่ผมกำลังเทน้ำอัดลมใส่แก้วของผมและแจจุง จะถามว่าผมหัวเราะอะไรน่ะเหรอ? ผมก็หัวเราะคนตรงหน้าที่เอาแต่ใช้ตากลมโตนั่นจ้องลงไปในหม้อสุกี้ที่กำลังต้มพวกของสดทั้งหลายในสุกไม่วางตาอยู่น่ะสิ มือบางทั้งสองข้างยกขึ้นเท้าคางทั้งๆ ที่ในมือก็ยังถือตะเกียบไว้คนละอัน ทำให้เจ้าตะเกียบหันชี้กันไปคนละทาง คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย พร้อมกับที่ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆ แสดงท่าทางรอคอยสุดๆ และแล้วเวลาที่แสนรอคอยของเรา หรือจะแค่แจจุงคนเดียว? ก็มาถึง สุกี้ในหม้อเริ่มเดือดปุดๆ บ่งบอกว่ามันพร้อมที่จะให้ผมและแจจุงได้กินกันแล้ว ผมเอื้อมมือจับฝาหม้อแล้วยกออก ส่งผลให้ไอร้อนภายในหม้อลอยตามออกมาเป็นควันโขยง พร้อมทั้งส่งกลิ่นหอมชวนให้น้ำลายสอ

“ว้าว! น่ากินจัง” คนน่ารักทำตาวาวเหมือนเด็กที่เจอของถูกใจ ก่อนที่จะลงมือกินสุกี้ในหม้ออย่างมีความสุข

“ระวังนะ ยังร้อนอยู่” ผมเอ่ยเตือนคนที่กำลังเพลิดเพลินกับการกิน ซึ่งแจจุงก็เงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มให้ผมทั้งๆ ที่ในปากยังเคี้ยวไส้กรอกอยู่ อ่า น่ารักอีกแล้วแฮะ

“นี่ เราหั่นไก่ชิ้นนี้ใหญ่เป็นพิเศษเลยนะ เพื่อยุนโฮโดยเฉพาะเลย” แล้วเจ้าไก่ชิ้นโตก็ถูกคีบมาวางไว้ในชามของผมทันทีที่แจจุงพูดจบ ผมมองเจ้าไก่ชิ้นนั้นด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ใช่อะไรหรอก แต่เจ้าไก่ชิ้นนี้มันดูแปลกๆ จริงๆ นั่นแหละ มันเหมือนกับผ่านสมรภูมิรบมาเยอะอย่างไงอย่างงั้นแหละ ทำไมผมถึงคิดแบบนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะว่าเจ้าไก่ชิ้นนี้ชิ้นใหญ่ก็จริง แต่เพราะว่ามันชิ้นใหญ่นั่นแหละ ผมจึงมองเห็นร่องรอยอะไรบางอย่างบนชิ้นไก่นี้ ร่องรอยเหมือนกับรอยของมีคมที่มีอยู่ทั่วชิ้นไก่นี้ เหมือนคนหั่นจะตัดสินใจไม่ถูกว่าจะหั่นมันยังไงให้มันเล็กลงต่างหาก จนสุดท้ายก็คงจะล้อเลิกความตั้งใจที่จะทำให้เจ้าไก่ชิ้นนี้มีขนาดเล็กลง แล้วจัดการโยนมันลงไปในหม้อสุกี้ซะอย่างนั้น

“นี่จงใจหั่นให้มันเป็นแบบนี้หรือหาวิธีหั่นให้มันเล็กลงไม่ได้กันแน่ล่ะ?” ก็อย่างที่เคยบอกเอาไว้นั่นแหละ ผมไม่ชอบเก็บความสงสัยไว้กับตัวเองนานนัก

“ไม่ใช่ซะหน่อย! เราตั้งใจหั่นให้มันชิ้นใหญ่จริงๆ นะ” แจจุงรีบปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ขอโทษเถอะครับ มีพิรุธเต็มๆ เลยล่ะ

“โอเค ฉันจะเชื่อแล้วกันนะ” ผมคีบเจ้าไก่ชิ้นใหญ่จิ้มในน้ำจิ้มสุกี้เตรียมจะเอาเข้าปาก แต่ตะเกียบอีกคู่ที่ไม่ใช่ของผมก็ดันมาคีบแย่งเจ้าไก่ชิ้นโตนั้นไปซะก่อน ไม่ต้องบอกทุกคนก็คงจะรู้ใช่ไหมว่าตะเกียบคู่นั้นน่ะเป็นของใคร?

“พูดอย่างนี้ไม่เชื่อกันใช่ไหมล่ะ? งั้นเรากินเองก็ได้” แจจุงว่างอนๆ แล้วก็ส่งเจ้าไก่ชิ้นนั้นเข้าปากไปทันที แต่เพราะว่ามันค่อนข้างจะชิ้นใหญ่พอควร แล้วก็ยังร้อนอยู่ด้วย แจจุงก็เลยได้แค่กัดไปแค่คำเดียวเท่านั้น

“อ้าว นายเอาให้ฉันแล้วมาแย่งฉันกินแบบนี้เนี่ยนะ?” ผมแกล้งพูดโวยวาย แต่แจจุงก็พูดสวนกลับมาทันทีไม่ยอมให้ผมได้โวยวายอยู่ฝ่ายเดียว

“ก็ยุนโฮไม่กินนี่!”

“ฉันบอกตอนไหนว่าจะไม่กิน?” ผมเลิกคิ้วถามด้วยท่าทีกวนๆ เล็กน้อย แจจุงมองหน้าผมอย่างชั่งใจสักพัก ในที่สุดก็ยื่นตะเกียบที่คีบไก่ชิ้นเจ้าปัญหาที่เลอะน้ำจิ้มไว้เกือบครึ่งมาตรงหน้าผมแทน

“อ่ะ อ้าปาก” ดะ เดี๋ยวนะ นี่แจจุงคิดจะป้อนผมงั้นเหรอ!? ป้อนไก่ชิ้นที่แจจุงกัดไปแล้วนั่นน่ะเหรอ!?

“เร็วสิ เราเมื่อยแล้วนะ ร้อนด้วย กินเร็วเข้า” แจจุงเอ่ยเร่งผม มืออีกข้างก็ลูบแขนตัวเองที่อยู่เหนือหม้อสุกี้ที่ส่งควันฉุยอย่างร้อนๆ จนทำให้ผมจำต้องรีบอ้าปากรับไก่ชิ้นนั้นเข้าปากไปด้วยความรวดเร็ว

“ฮ่ะ อร่อยไหม? แจจุงหมักเองกับมือเลยนะ” แจจุงส่งยิ้มน่ารักมาให้ผมเสียตาโตๆ นั่นหยีลง แล้วก้มหน้าก้มตากินสุกี้ในหม้อต่ออย่างอารมณ์ดี

เราสองคนนั่งกินสุกี้กันมานานเกือบจะชั่วโมงแล้ว พวกของสดที่มีเริ่มพร่องลงไปที่ละน้อยๆ จนตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เห็นตัวเล็กๆ บางๆ แบบนี้ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าแจจุงจะกินเก่งเหมือนกัน หรือเพราะแจจุงชอบสุกี้กันนะ เพราะปกติเวลากินข้าวด้วยกันที่หอแจจุงก็ไม่ได้กินเยอะมากขนาดนี้ซะหน่อย และในระหว่างที่เรานั่งกินสุกี้กันไปก็พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แต่ส่วนใหญ่แจจุงจะเป็นคนเริ่มชวนคุยหรือเล่าเรื่องอะไรต่างๆ ซะมากกว่า ผมก็ได้แต่นั่งฟัง อาจจะมีบางครั้งที่ต้องเล่าเรื่องของตัวเองบ้างเวลาที่แจจุงถาม ซึ่งก็ไม่บ่อยนักหรอก แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดี มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเรากำลังเรียนรู้เรื่องราวซึ่งกันและกันอยู่อย่างนั้นแหละ

ติ๊ดๆ

ในระหว่างที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงเตือนข้อความเข้าจากมือถือของแจจุงดังขึ้น เรียกความสนใจจากทั้งผมและแจจุงได้เป็นอย่างดี แจจุงหยิบมือถือขึ้นมากดดู ซึ่งผมก็ได้แต่ทำท่าทางเหมือนให้ความสนใจกับสุกี้ในหม้อต่อไป ถึงแม้ว่าผมจะเริ่มอิ่มแล้วก็เถอะนะ ไม่นานแจจุงก็วางมือถือลงบนโต๊ะที่เดิม แล้วถอนหายใจซะดังจนผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือเปล่า?”

แจจุงมีท่าทีอึกอักเหมือนไม่อยากจะพูดอะไร ผมก็เลยพูดต่อ

“ถ้าไม่สะดวกใจที่จะบอกก็ไม่เป็นไรนะ ฉันก็แค่ถามเพราะเป็นห่วงน่ะ เห็นนายถอนหายใจซะดังเลย”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น” แจจุงปฏิเสธเสียงเบา มือบางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเบคอนมาใส่ชามตัวเองปล่อยให้มันหายร้อน ผมก็ได้แต่มองตามแจจุงเงียบๆ ไม่พูดเซ้าซี้อะไร

estrellas
Level 1 TVXQ~~ Fanz! !!*

จำนวนข้อความ : 2
Join date : 27/02/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[SF] Your man Empty Re: [SF] Your man

ตั้งหัวข้อ  estrellas Thu Feb 27, 2014 3:34 pm

“เฮ้อ ช่วงนี้มีคนคอยมาป้วนเปี้ยนๆ อยู่ใกล้ๆ น่ะ ตอนแรกเราก็เฉยๆ นะ แต่พักหลังมานี่รู้สึกว่าเขาจะเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไปดักเจอที่หน้าห้องเรียนทุกวันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่การที่เที่ยวสืบหาเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมล์ส่วนตัว แล้วโทรมาหาบ้าง ส่งข้อความมาให้บ้างทุกๆ วันแบบนี้มันก็เกินไปนี่นา บางทีมันก็รู้สึกว่ากำลังโดนรบกวนเวลาส่วนตัวอยู่น่ะ” จากน้ำเสียงของแจจุงที่เล่าให้ผมฟัง ท่าทางจะรู้สึกแย่จริงๆ แฮะ ใครกันที่ทำให้คนน่ารักของผมต้องรู้สึกไม่ดีแบบนี้นะ? จะชอบอะไรแจจุงก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แต่ทำไมชอบแล้วต้องทำให้แจจุงรู้สึกไม่ดีด้วย? ไม่เข้าใจความคิดของคนๆ นั้นจริงๆ อ่า น่าหงุดหงิดชะมัด

“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม? เอ่อ ฉันหมายความว่าถ้าฉันพอจะช่วยอะไรได้ ฉันก็ยินดีช่วยนะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอ่ยเสนอตัวไปแบบนั้น คงเป็นเพราะผมไม่ชอบหน้าตาเศร้าๆ ของแจจุงแบบนี้ล่ะมั้ง

“ที่จริงก็พอจะมีนะ คือ…มันเป็นคำแนะนำของพวกจุนซูน่ะ แล้วพอมองดูรอบๆ ตัวแล้วคนที่น่าจะช่วยเราได้มากที่สุดก็คงจะมีแต่ยุนโฮนั่นแหละ แต่มันก็… ช่างเถอะ เราจะพยายามทำใจให้ชิน แล้วมันก็คงไม่มีอะไรเองล่ะมั้ง” ทำไมผมเริ่มจะรู้สึกว่าแจจุงพูดอยู่กับตัวเองแทนที่จะพูดกับผมล่ะ แล้วแบบนี้ผมจะรู้ไหมว่าผมจะช่วยแจจุงได้ยังไง?

“บอกมาเถอะ ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว ฉันก็ยินดีจะช่วย” ผมบอกกับแจจุงด้วยน้ำเสียงจริงจัง บอกให้แจจุงรู้ว่าผมพูดจริงๆ

“คือ…คือว่า…” ผมนั่งมองแจจุงพูดอึกอักๆ อย่างลุ้นๆ เหมือนกำลังนั่งฟังเลขหวยออกเลยล่ะ

“คือ…พวกจุนซูบอกว่าให้เรา เอ่อ เรา ให้เราหาคนมาแกล้งเป็นแฟนด้วยน่ะ พอเขารู้ว่าเรามีแฟนแล้ว เขาก็จะเลิกตามเราไปเอง” ตากลมโตค่อยๆ ช้อนตามองหน้าผมอย่างชั่งใจ ก่อนจะพูดต่อให้จบประโยค

“ยุนโฮช่วยแกล้งเป็นแฟนแจจุงหน่อยได้ไหม? นะ ขอร้องล่ะ”

!!!!

เมื่อกี้แจจุงว่ายังไงนะ!? จะให้ผมแกล้งเป็นแฟนของแจจุงอย่างนั้นเหรอ!? โอ้ พระเจ้า! งานนี้ชอง ยุนโฮได้เสียหัวใจทั้งดวงไปให้ผู้ชายหน้าหวานคนนี้ตลอดกาลแน่ๆ!!

……………………………………………………………………………..

ตั้งแต่วันนั้นที่ผมยอมตกลงรับบทบาทเป็นแฟนปลอมๆ ของแจจุง ก็ผ่านมาราวๆ สองอาทิตย์แล้ว ถ้าจะถามถึงผลลัพธ์ของการเป็นแฟนปลอมๆ ของแจจุงว่าเป็นอย่างไรนั้น? ก็ถือว่าได้ผลในระดับหนึ่งนะ ไม่สิ ผมว่าได้ผลมากเลยด้วยซ้ำไป ผู้ชายที่เคยมาป้วนเปี้ยนตามตอแยแจจุงอยู่ๆ ก็เงียบหายไป และไม่คอยมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ แจจุงอีก ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีมากเรื่องหนึ่งเลยล่ะ แต่อย่างว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้น มีด้านดีมันก็ต้องมีด้านที่ไม่ดีตามมาเหมือนกัน ตั้งแต่วันที่พวกจุนซูช่วยกันปล่อยข่าวเรื่องที่ผมกับแจจุงเป็นแฟนกันไปทั่วมหาวิทยาลัย และผมต้องตัวติดกับแจจุงตลอดแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข่าวลือเรื่องนี้ด้วย จนใครๆ ก็ต่างพากันคิดว่าผมกับแจจุงเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ อย่างที่ข่าวว่า ซึ่งนั่นมันก็ดีใช่ไหมล่ะ? อย่างน้อยก็ดีสำหรับผมล่ะนะ แต่ผมก็ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปเล็กน้อย จากคนที่ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร และแน่นอนก็ไม่ค่อยอยากจะมีใครสุงสิงกับผมด้วยซะเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่าผมกลายเป็นที่รู้จักกับคนทั้งมหาวิทยาลัยได้ภายในวันเดียว! ไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหนก็มักจะมีคนคอยมองตามและพูดคุยซุบซิบกันประจำ และแน่นอนมันไม่ดีสำหรับผมซะเท่าไหร่ ผมไม่ค่อยอยากจะเป็นที่รู้จักกับใครต่อใครมากมายขนาดนี้นักหรอกนะ แต่เพื่อแจจุงแล้ว ผมจะยอมทำเป็นชินชากับเรื่องพวกนี้ก็แล้วกัน

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมเลิกเรียนก่อนแจจุง และต้องมารอรับแจจุงที่คณะตามหน้าที่แฟนที่ดี ผมเดินเอื่อยๆ มาที่คณะเภสัชศาสตร์อย่างไม่รีบร้อนนัก ผมเลือกที่จะนั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะที่หันหน้าไปทางคณะแพทยศาสตร์ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามด้วยเหตุผลเดิมๆ นั่นแหละ ทุกคนคงรู้ใช่ไหมล่ะ? และผมก็หวังว่าวันนี้ผมจะสมหวังนะ อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อนคุยระหว่างนั่งรอแจจุงล่ะนะ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่เห็นวี่แววของเพื่อนรักของผมเลยซักนิด ผมก็เลยตัดสินใจหยิบหนังสือนิติปรัชญาในกระเป๋าขึ้นมาอ่านคั่นเวลา

ในระหว่างที่ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีเงาร่างของใครบางคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะปิดหน้าหนังสือลงและเงยหน้ามองคนตรงหน้า ในใจผมก็คิดว่าจะเป็นชางมินนะ เพียงแต่มันไม่ใช่เท่านั้นเอง

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“นายใช่ไหมที่เขาลือกันว่าเป็นแฟนของแจจุงน่ะ?” ผู้ชายตรงหน้าที่ผมไม่รู้จักเอ่ยถามผม น้ำเสียงติดจะเอาเรื่องอยู่หน่อยๆ

“ถ้าคนที่เขาลือกันชื่อชอง ยุนโฮล่ะก็ ใช่ ฉันเองชอง ยุนโฮ”

“เฮอะ! แกนี่เอง แกเป็นคนปล่อยข่าวลือบ้าๆ พวกนั้นเองใช่ไหม!? ความจริงแล้วแกกับแจจุงไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างที่เขาพูดกัน ทั้งหมดแกเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมาเองใช่ไหมล่ะ!?” เขาตรงเข้ามากระชากคอเสื้อผมขึ้นแล้วตะโกนใส่หน้าผมไม่ยั้ง โดยไม่สนใจว่าใครจะหยุดมองมาทางเราบ้าง ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเลยล่ะ

“การหาเรื่องคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมันไม่ใช่คุณสมบัติของคนที่มีจิตใต้สำนึกที่ดีหรอกนะ” ผมปัดมือที่กำคอเสื้อผมไว้ทิ้งลงอย่างแรงอย่างไม่ชอบใจ

“แกโกหกว่าแกเป็นแฟนกับแจจุงทำไม!? หรือว่าเพราะแกชอบแจจุงแต่แจจุงไม่เล่นด้วยกับแก แกก็เลยปล่อยข่าวบ้าๆ นี่เพื่อจะกันคนไม่ให้มายุ่งกับแจจุงอย่างงั้นเหรอไง!?”

“ถ้ามันจะกันให้คนอย่างนายไม่เข้าใกล้แจจุงได้มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอไง?” ผมถามกลับ แต่เหมือนจะไปสะกิดต่อมพาลของหมอนี่จังๆ แล้วล่ะมั้ง

“คนอย่างฉันมันทำไม!? เฮอะ! หัดดูสารรูปตัวเองก่อนเถอะ สารรูปแบบนี้เนี่ยนะจะมาเป็นแฟนแจจุงได้! อย่างแกน่ะไม่มีอะไรคู่ควรกับแจจุงเลยซักนิด!”

“จะคู่ควรหรือไม่คู่ควรแจจุงก็เป็นคนตัดสินใจเอง และถ้านายคิดว่านายคู่ควรกับแจจุงจริงๆ ทำไมแจจุงถึงไม่คิดแบบนั้นล่ะ? ทำไมแจจุงถึงไม่เลือกนายแต่กลับเลือกฉันกันล่ะ? ฮึ ใครกันแน่ที่ไม่คู่ควร?”

“อย่าอยู่เลยมึง!” สิ้นคำสบถนั้น หมัดหนักๆ ก็ลอยเข้ามาปะทะที่หน้าของผมด้วยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

“ยุนโฮ!!” แต่ก่อนที่ผมจะได้สวนกลับไปบ้าง เสียงเรียกชื่อผมดังๆ ของแจจุงก็ทำให้ผมหันกลับไปมองซะก่อน

“ยุนโฮ เป็นยังไงบ้าง?” แจจุงวิ่งเข้ามาเกาะแขนผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงจนผมรู้สึกได้ ตามหลังมาด้วยพวกเพื่อนๆ ของแจจุงที่วิ่งเข้ามาดูสถานการณ์ด้วยเช่นกัน

“นายทำบ้าอะไรของนายน่ะ!? ทำไมต้องต่อยยุนโฮด้วย!?” แล้วแจจุงก็หันไปแว้ดใส่ไอ้ตัวการที่ทำให้ผมต้องเจ็บตัวเสียงดังด้วยใบหน้าที่เอาเรื่องสุดๆ

“ก็มันแกล้งปล่อยข่าวบ้าๆ ว่ามันกำลังคบกับนายอยู่ ฉันก็แค่สั่งสอนมันให้รู้ว่ามันไม่มีทางที่จะคบกับนายได้หรอก ฉันทำเพื่อนายนะแจจุง”

“ใครบอกนายกันว่ายุนโฮเป็นคนปล่อยข่าวลือพวกนั้น? ใครบอกนายกันว่ายุนโฮจะคบกับเราไม่ได้? ก่อนที่นายจะทำให้คนอื่นรับรู้เรื่องอะไร นายควรจะรู้เอาไว้ซะก่อนนะว่าเรากับยุนโฮคบกัน เราสองคนเป็นแฟนกัน แล้วนายก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาทำร้ายแฟนของเราด้วย! อี จองอิน”

“นายโกหก! ฉันสืบรู้มาหมดแล้วว่านายแค่ให้มันแกล้งเป็นแฟนนายเฉยๆ นายกับมันไม่ได้คบกันจริงๆ ซะหน่อย!” ผู้ชายที่ชื่อจองอินตอบกลับมาทันควัน จนทำให้แจจุงเงียบไปเหมือนพูดอะไรไม่ได้เพราะทุกอย่างมันเป็นความจริง

“นายเงียบแบบนี้แสดงว่าฉันพูดจริงใช่ไหมล่ะ? นายไม่ได้คบกับมันจริงๆ ใช่ไหม?” จองอินยังคงคาดคั้นเอาความจริงจากแจจุงไม่ยอมหยุด จนผมเริ่มจะทนไม่ไหวกับสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้

“ใช่! ฉันกับแจจุงไม่ได้คบกันจริงๆ”

“ยุนโฮ…” แจจุงเรียกผมเสียงอ่อน ใบหน้าน่ารักมีร่องรอยของความเป็นกังวลจนเห็นได้ชัด ผมเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ ให้กับแจจุงและเลื่อนมือกุมมือเล็กๆ ที่เกาะอยู่ที่แขนของผมไว้แน่นๆ อย่างให้กำลังใจ

“แต่นั่นมันก็ก่อนที่นายจะมาวันนี้ และฉันจะเลิกเป็นแฟนปลอมๆ ของแจจุงแล้ว” ผมพูดบอกจองอินด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีแววของความล้อเล่น ก่อนที่จะหันมามองแจจุงที่มองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ผมว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ ถึงเวลาที่ผมจะทำอะไรให้มันชัดเจนไปเสียที ถึงเวลาที่ผมจะบอกความรู้สึกของผมให้แจจุงรับรู้ซะที

“ฉันรักนายนะแจจุง รักมานานแล้ว ขอโทษที่ไม่เคยบอกให้นายรับรู้ เพียงเพราะว่าฉันแค่กลัว กลัวว่าจะผิดหวัง กลัวว่าถ้าฉันบอกนายไปแล้วเราจะไม่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้ฉันพอแล้ว พอแล้วกับความกลัวทั้งหลายเหล่านั้นที่ฉันสร้างมันขึ้นมา ถ้าฉันจะขอคบกับนาย นายจะยอมตกลงหรือเปล่า? เราคบกันได้ไหม? ไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่แค่ในฐานะรูมเมท แต่ในฐานะคนรัก คบกับฉันนะ แจจุง”

“ฮ่ะ นึกว่าจะไม่พูดคำนี้แล้วซะอีก เรารอให้ยุนโฮพูดมาตั้งนานแล้วรู้ไหม? ฮึก อื้ม แจจุงจะคบกับยุนโฮ เราจะเป็นแฟนกันนะ” แจจุงโผเข้ากอดผมแน่น ใบหน้าน่ารักซุกอยู่ที่บ่าของผม และผมก็รู้สึกถึงความเย็นจากหยดน้ำตาใสที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่หวานที่ผมชอบ

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!? คิม แจจุง นาย…นายอย่าหวังว่าฉันจะมาหลงรักนายอีกเป็นครั้งที่สองเลย!” จองอินพูดว่าฉอดๆ อย่างแค้นใจ

“เราไม่หวังหรอก แค่ยุนโฮรักเราก็พอแล้วล่ะ” แจจุงคลายอ้อมกอดที่ใช้กอดผมลงแล้วหันไปเอ่ยบอกกับจองอิน ก่อนที่คนน่ารักจะยืดตัวหอมแก้มผมเสียฟอดใหญ่ เล่นทำผมถึงกับเหวอทีเดียว

“โธ่เว้ย!!” จองอินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วเดินหนีไปอย่างไม่พอใจ

.
.
.
.
.

หลังจากที่เคลียร์ปัญหาต่างๆ จบลง ผมกับแจจุงก็พากันเดินกลับหอ พอมาถึงหอแจจุงก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำทันที ถึงผมจะอิดออดขอนั่งกินข้าวก่อน แจจุงก็ไม่ยอม ไล่ให้ผมไปอาบน้ำก่อนท่าเดียว จนสุดท้ายผมก็ต้องจำใจเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนอย่างช่วยไม่ได้ พอผมอาบน้ำเสร็จออกมาข้าวต้มร้อนๆ ก็ถูกวางเสิร์ฟไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่เราใช้นั่งกินข้าวกัน ข้างๆ ข้าวต้มชามใหญ่ก็มีต๊อกโบกีรสจัดจ้านวางอยู่ด้วย เอาจริงๆ นะ ผมน่ะอยากจะกินต๊อกโบกีมากกว่า แต่แจจุงก็ยื่นชามข้าวต้มมาให้ผมแทนด้วยเหตุผลที่ว่าปากผมเป็นแผล ของเผ็ดๆ จะทำให้ผมเจ็บปากได้ แล้วผมก็เถียงแจจุงไม่ได้อีกเช่นเคย
หลังจากที่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถูกแจจุงดึงตัวให้มานั่งแหมะบนเตียงเฉยๆ แล้วแจจุงก็เดินว่อนหากล่องพยาบาลไปทั่วห้อง พอหาเจอก็รีบเดินตรงมาหาผมที่นั่งอยู่บนเตียง มือเล็กก็เร่งแกะกล่องพยาบาลแล้วหยิบนู่นหยิบนี่อะไรไม่รู้มาทำแผลให้ผมที่โดนต่อยมาเมื่อเย็น ผมนั่งนิ่งๆ มองหน้าหวานๆ ที่กำลังตั้งใจกับการทำแผลไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน แต่ดูเหมือนว่าผมจะจ้องมากเกินไปล่ะมั้ง แจจุงถึงได้หน้าแดงๆ และหลบตาผมอย่างเขินอาย อ่า น่ารักจัง

“มองอะไรอยู่ได้? เราก็เขินเป็นนะ”

“อ้าว ก็ถ้าไม่อยู่นิ่งๆ นายก็ทำแผลไม่ถนัดน่ะสิ แล้วถ้าไม่ให้ฉันมองหน้านายแล้วจะให้มองอะไรล่ะ? ก็นายนั่งอยู่ตรงหน้าฉันนี่” ผมพูดบอกขำๆ แจจุงนี่น่าแกล้งจริงๆ เลยให้ตายเถอะ ฮ่าๆ

“ก็รู้แล้ว แต่ไม่เห็นจะต้องจ้องขนาดนี้เลยนี่” แจจุงพูดบ่นอุบอิบเสียงเบา แต่ผมได้ยินชัดเต็มสองหูเลยล่ะ

“เจ็บไหม? ขอโทษนะ” แล้วใบหน้าหวานที่เขินอายอยู่เมื่อกี้ก็หมองเศร้าลงอย่างรู้สึกผิดแทน เฮ้ ผมไม่ชอบหน้าตาแบบนี้นะ

“ขอโทษทำไม? นายไม่ได้เป็นคนต่อยฉันซะหน่อย”

“แต่ว่า…”

“เลิกทำหน้าแบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่ชอบเวลานายทำหน้าแบบนี้นะ นายเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่ารู้ไหม? อยู่กับฉันต้องยิ้มเยอะๆ สิ ถ้านายทำหน้าเศร้าแบบนี้ ฉันจะคิดว่านายไม่มีความสุขนะ” ผมบีบแก้มนุ่มเบาๆ ด้วยความหมันเขี้ยว

“อื้อออ! งั้นเราจะยิ้มทั้งวันเลย ดีไหม?” แจจุงลอยหน้าลอยตาถามผมอย่างน่ารัก จนผมอดจะยกมืออีกข้างบีบแก้มนุ่มอีกข้างด้วยความหมันเขี้ยวไม่ได้

“ยิ้มทั้งวันก็บ้าแล้วล่ะ ฮ่าๆ”

“เราไม่ได้บ้านะ!” มือเล็กๆ ตีเข้าที่มือของผมอย่างงอนๆ

“อื้ออ รักยุนโฮจัง” แล้วร่างบางก็โผเข้ากอดผมทั้งตัว ใบหน้าหวานซุกที่อกของผม เอาหน้าถูไถไปมาอย่างออดอ้อน

“นายรู้มานานแล้วหรือยังว่าฉันรักนายน่ะ?” ผมเอ่ยถามคนในอ้อมกอด มือก็ลูบไหล่บางของแจจุงเบาๆ ไปด้วย

“เราไม่รู้ซะหน่อยว่ายุนโฮรักเราน่ะ” แจจุงตอบปฏิเสธเสียงอู้อี้เพราะเจ้าตัวเอาหน้าฝังกับอกผมอยู่น่ะสิ

“แล้วตอนที่ฉันบอกรักนาย แล้วนายพูดว่า ‘นึกว่าจะไม่พูดแล้วซะอีก รอมาตั้งนาน’ น่ะ หมายความว่ายังไง? ไม่ได้หมายความว่านายรู้อยู่แล้วเหรอ? บอกมาตามความจริงนะ อย่าโกหก” ผมแอบพูดขู่แจจุงน้อยๆ ให้แจจุงไม่กล้าโกหกผม

“ก็…รู้ก่อนวันที่เราจะย้ายมาอยู่หอนี้นั่นแหละ” และแล้วแจจุงก็เริ่มคายความลับออกมาทีละน้อยๆ

“รู้ได้ยังไง?” และผมก็ไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไปง่ายๆ หรอก

“ก็…ชางมินเป็นคนบอก” นั่นไง ผมคิดอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับไอ้เพื่อนรักของผมแน่ๆ

“โกรธชางมินหรือเปล่า? อย่าโกรธชางมินเลยนะ ชางมินเขาหวังดีกับเราสองคนจริงๆ นะ แล้วอีกอย่างถ้าชางมินไม่บอกว่ายุนโฮรักเราล่ะก็ เราก็คงไม่กล้าเข้าใกล้ยุนโฮขนาดนี้หรอก” แจจุงพูดออดอ้อนบอกผม มือบางก็รัดเอวผมแน่นขึ้นเหมือนจะอ้อนกัน

“ทำไมถึงไม่กล้าเข้าใกล้ฉันล่ะ?” ผมก้มถามแจจุงด้วยความสงสัย ก่อนจะกดจมูกลงบนกลุ่มผมหอมๆ นั่นทีนึงด้วย

“ก็ยุนโฮน่ะชอบหนีเราอยู่ตลอดเลยนี่ เวลาเจอกันยุนโฮก็ไม่เข้ามาทัก แถมยังเดินหนีเราอีกต่างหาก เราก็นึกว่ายุนโฮไม่ชอบเรา เลยไม่อยากยุ่งกับเรานี่นา” แจจุงเงยหน้าขึ้นมาเหมือนจะต่อว่าผมเล็กๆ ใบหน้าน่ารักมุ่ยลงอย่างขัดใจ

“ไม่ใช่ซะหน่อย”

“แล้วใครจะรู้ล่ะ!? ไม่รู้ล่ะ ยุนโฮห้ามไปว่าชางมินนะ ไม่งั้นเรางอนจริงๆ ด้วย” พอขู่เสร็จ ก็ก้มไปซุกหน้าที่อกผมต่อ เอากับเขาสิ จะน่ารักไปถึงไหนกันนะ?

“โอเค ไม่ว่าก็ได้ๆ”

“อื้ออ ง่วงจัง” อยู่ๆ แมวน้อยในอ้อมกอดผมก็งอแงขึ้นมาซะงั้น แล้วดูท่าว่าจะหลับจริงๆ ถ้าผมยังลูบแขนบางๆ เป็นการกล่อมอยู่แบบนี้ ผมจึงตัดสินใจดึงร่างคนที่กำลังจะหลับให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วเอ่ยบอกให้ไปอาบน้ำซะ ซึ่งแจจุงก็พยักหน้ารับอย่างง่วงๆ แล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมทั้งชุดนอน แล้วเดินตรงมาทิ้งตัวนอนบนเตียงผมทันที

“จะนอนเตียงฉันก็นอนดีๆ สิ กระเถิบเข้าไปชิดกำแพงนู่นเลย เดี๋ยวก็ตกเตียงพอดี” สิ้นคำพูดของผม แจจุงก็กลิ้งตัวหลุนๆ ไปนอนชิดกำแพงจริงๆ ก่อนที่มือเล็กๆ จะตบที่นอนข้างๆ แปะๆ เรียกให้ผมไปนอนด้วย ผมมองภาพนั้นยิ้มๆ แล้วพาร่างของตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกันกับแจจุง พอผมล้มตัวลงนอนปุ๊บแจจุงก็กระเถิบตัวเข้าหาทันที ผมเลยต้องเหยียดแขนข้างที่อยู่ข้างแจจุงออกไปให้แจจุงซุกตัวเข้ามาหาได้ หัวกลมๆ ขยับยุกยิกหาที่เหมาะๆ ก่อนจะเอ่ยกับผมเสียงหวาน

“เรารักยุนโฮนะ ผู้ชายของแจจุง” พูดจบแจจุงก็หมอบจูบหวานๆ ให้กับผมเบาๆ ก่อนจะขยับตัวอีกครั้งแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไปทันที

“ฉันก็รักนาย ฉันจะเป็นผู้ชายของนายตลอดไป” ผมจูบเบาๆ ที่หน้าผากเนียนเพื่อส่งให้คนในอ้อมกอดของผมฝันดี แล้วตั้งแต่วันนี้ผมก็ได้นางฟ้าที่เป็นขวัญใจของคนทั้งมหาวิทยาลัยมาครอบครอง ไม่ต้องคอยแอบรักอยู่ห่างๆ อีกแล้ว

estrellas
Level 1 TVXQ~~ Fanz! !!*

จำนวนข้อความ : 2
Join date : 27/02/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ